วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Week 14 : Web2.0

Web2.0
Web 2.0 vs. Traditional Web
1.การร่วมมือของInternet User ,Content Provider(เอาContentมาขายจากเดิมสมัยWeb1.0เอามาให้ฟรีแล้วมีรายได้จากBanner เช่นหนังสือพิมพ์) และ Enterprises เพิ่มขึ้น
2.พัฒนากระบวนการภายในของธุรกิจและการตลาด
3.การร่วมมือระหว่างลูกค้า,partner,supplierและinternal user
Web2.0 key Stats
มีผู้ใช้มากกว่า 75 blog และมีblog ใหม่ 120,000blogต่อวัน
Web 2.0 Characteristics
      Ability to tap into user intelligence.
      ข้อมูลถูกนำไปใช้ในวิธีการใหม่ๆ.
      Interface ถูกทำออกมาให้ใช้งานง่าย.
      สร้างตัวต้นแบบก่อนสร้างproductจริงทำได้ง่ายขึ้นและรวดเร็วโดยเอาระบบ3มิติเข้ามาช่วย
      ตอนนี้ทุกอย่างเป็นsocial network
      Global spreading of innovative Web sites
ในปัจจุบันข่าวไม่ได้มาจากแค่ traditional mediaเท่านั้น แต่มาจาก social media ด้วย
Issues For Social Network Services
-ขาดความเป็นส่วนตัว
-การแปลภาษาแบบมั่วๆ
-การทำactivity ต่างๆที่ผิดกฎหมาย
-วัฒนธรรมเปลี่ยนไปรับกระแส
Enterprise Social Networks Characteristics(การใช้ภายในองค์กร)
เช่น chatter เหมือนfacebookที่ใช้ภายในองค์กร สาเหตุคือให้มีการปฏิสัมพันธ์กัน สร้างknowledge society แต่ในด้านcrmอาจจะใช้facebook twitter ขึ้นมา หรือถ้าcreate ระบบขึ้นมาก็มี เช่น CISCO ก็มีขาย ปัจจุบันการใช้ภายในองคืกรกำลังได้รับความนิยมมาก
Retailers Benefit from Online Communities
-สำหรับร้านค้าประโยชน์คือได้รับข้อมูลจากลูกค้าจริงๆ ต่างจากในสมัยก่อนที่จะต้องเหวี่ยงแห ไม่แน่ใจว่าใช่ลุกค้าหรือไม่
-Viral marketing  คือ การถ่ายโฆษณาที่แปลกๆ ทำให้เกิดการพูดปากต่อปาก
-สามารถเพิ่มtrafficของwebsite
-สามารถเพิ่มsaleได้
Mashup คือ การเอาapplication ต่างๆมารวมกัน เช่น google map สามารถเขียนโปรแกรมแล้วเรียกapplicationนี้ขึ้นมาใช้ได้
Robotics
-พยายามเพิ่มการใช้หุ่นยนต์แทนคน
-กระทรวงกลาโหมสหรัฐพยายามเพิ่มการใช้หุ่นยนต์
Telemedicine & Telehealth
การใชเทคโนโลยีสารสนเทศมาดูแลสุขภาพ เช่น ไนกี้มีรองเท้าที่สามารถวัดการเต้นของหัวใจ การเผาผลาญแครอรี่
Mobile Technology in Medicine
เป็นTrendที่กำลังมาแรง เชน ไทยพยายามเป้นmedical hub  ปัจจุบันอยู่ที่สิงคโปร์
Urban Planning with Wireless Sensor Networks
เป็นผลของเทคโนโลยีไร้สายที่มีผลต่อการจราจร
-นำrfidมาบอกว่ามีที่จอดว่างหรือไม่
-ใช้ระบบwirelessทำให้ทำงานที่บ้าน
Offshore Outsourcing
เป็นการoutsource การพัฒนาsoftwareและcallcenterไปยังต่างประเทศ
Enterprise 2.0 & What It Can Do For You
การใช้itเพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้า
Presence, Location & Privacy
Social neteaorkingสามารถระบุได้ว่าใครกำลังonlineอยู่ที่ไหน
Green Computing
เป็นการลดการใช้พลังงานโดยใช้เทคโนโ,ยี เช่น ใช้Virtual network
Information Overload
การมีข้อมูลมากเกินไป เช่น การสร้างข่าวไม่เป็นมงคลทำให้หุ้นตกอย่างหนัก
Information Quality
เมื่อเกิดการทุจริตจึงมีการสร้างระบบสารสนเทศเพื่อความโปร่งใสมากยิ่งขึ้น
Dehumanization & Other Psychological Impacts
      Many feel loss of identity.
      Many have increased productivity.
      Many have created personalization through blogs & wikis.
      May cause depression & loneliness due to isolation.
      May damage social, moral & cognitive development of school-age children
Impacts on Health & Safety
-มีความเครียดเกิดขึ้นเนื่องจากความต้องการในการเพิ่มproductivity
- Carpal Tunnel Syndrome เพิ่มขึ้น
Present
Behavioral Economics
จาก IT Hype Cycle ของปี 2009 จะเห็นได้ว่า BE ถูกจัดอยู่ในช่วงของ Innovation Trigger คือ เป็นสิ่งที่เริ่มเป็นที่รู้จักหรือได้รับความสนใจ และต้องเวลาอีกประมาณ 5-10 ปีก่อนจะเข้า Main Stream ของ IT แต่จริงๆแล้วเรื่อง Behavioral Economics นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เป็น Concept เดียวกันกับ Behavioral finance นั่นเอง
Behavioral Economicsหรือ เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม เป็นการศึกษาวิธีการตัดสินใจของมนุษย์ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสำหรับ Hype cycle โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของปัจจัยที่มีผลในการตัดสินใจ เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมเพิ่งได้รับความสนใจจากองค์กรจำนวนไม่มากนัก เบื้องต้นเพื่อทำความเข้าใจถึงแรงจูงใจและความต้องการของลูกค้า โดยเชื่อว่าในอนาคตจะเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญเกี่ยวกับวิธีการและสาเหตุของการตัดสินใจ
ธรรมชาติของมนุษย์ที่จะกล่าวถึงในที่นี้มี 3 มุมมองด้วยกัน ได้แก่ Novelty, Social Natures, และ Decision Heuristics ทั้งสามมุมมองนี้เป็นสาเหตุให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ rational เมื่อมีการตัดสินใจว่าควรนำเทคโนโลยีหนึ่งๆเข้ามาใช้หรือไม่ และควรนำมาใช้เมื่อใด
Novelty Preference คือความสนใจในสิ่งใหม่ๆ เราจะใช้เวลาในการมองสิ่งที่เคยเห็นมาก่อนน้อยกว่าการมองสิ่งใหม่ๆ และมีความต้องการที่จะใช้เวลาในการมองของสิ่งใหม่และเสาะหาสถานที่ใหม่มากขึ้น นอกจากนี้ Novelty Preference ยังรวมถึงความต้องการที่จะแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นกับผู้อื่นซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารคุณค่าของนวัตกรรมไปยังผู้อื่น หากปราศจากการสื่อสารแล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะสร้างแนวคิดใหม่ๆได้ หรือทำได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น และหากไม่มีการอภิปรายอย่างต่อเนื่องในสังคมถึงปัญหาและการพัฒนานวัตกรรม แม้แต่ความคิดที่ดีที่สุดก็อาจเลือนหายไปได้
Social Contagion หรือ Crowd Behavior คือการที่พฤติกรรมหรือความคิดของมนุษย์ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากพฤติกรรมและความคิดเห็นของคนอื่น โดยที่บางครั้งการกระทำของคนส่วนใหญ่ไม่ได้หมายความว่าจะถูกต้องเสมอไป ตัวอย่าง Crowd Behavior เช่นในช่วงปี2000 ที่หุ้น dotcom กำลังได้รับความนิยม มีนักลงทุนจำนวนมากที่ลงทุนในหุ้นเหล่านี้โดยปราศจากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน แต่ลงทุนไปตามนักลงทุนส่วนใหญ่ ผลคือเกิด Stock Bubbles เกิดขึ้น
บทบาทของ Social contagion ในการขับเคลื่อนการนำนวัตกรรมที่ดีและไม่ดีมาใช้นั้นมีหลักฐานยืนยันเป็นอย่างดี เมื่อคนจำนวนมากให้ความสนใจกับนวัตกรรมหนึ่ง การนำนวัตกรรมไปใช้ก็จะมีมากขึ้นเอง และเติบโตไปอย่างช้าๆจนกระทั่งถึงจุดปลายสุด
Decision Heuristics คือการศึกษาเกี่ยวกับแนวโน้มการตัดสินใจของคนเมื่อต้องเผชิญกับทางเลือกที่มีผลลัพธ์ไม่แน่นอน เช่น จะนำนวัตกรรมใดมาใช้จึงจะได้มูลค่าสูงสุด แทนที่จะพยายามประเมินทุกทางเลือก กลับใช้วิธีลัดแทนหรือที่เรียกว่า heuristics ที่ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเพียงพอในเวลาสั้นๆ กล่าวคือ เรา Satisfice (Satisfy+Suffice) มากกว่าจะ Optimize การตัดสินใจนั่นเอง
ตัวอย่างการตัดสินใจโดยใช้ Heuristics แบบต่างๆ เช่น Representativeness Heuristic คือการที่เราคิดว่าอะไรที่เคยเกิดบ่อยๆ มักจะมีความน่าเป็นที่จะเกิดขึ้นสูงกว่า ทั้งๆที่ความน่าเป็นที่จะเกิดขึ้นในแต่ละเหตุการณ์นั้นมีเท่ากัน เช่นเวลาทอยเหรียญ ทอยลูกเต๋า และ Availability Heuristic คือการตัดสินใจโดยใช้แต่เพียงข้อมูลที่มีอยู่ ไม่พิจารณาอย่างรอบด้าน เช่น Stock Bubbles นักลงทุนที่ได้ยินถึงความสำเร็จของการลงทุนในหุ้น IPO ของบริษัท dotcom ก็จะคาดหวังว่าในอนาคตหุ้น IPO ของบริษัท dotcom ก็น่าจะประสบความสำเร็จเช่นกัน โดยที่มองข้ามหรือไม่หาข้อมูลด้านที่ล้มเหลวของหุ้น dotcom มาพิจารณาควบคู่กันไป
Decision heuristics นี้ประกอบกับผลกระทบจาก Novelty preference และ Social contagion ทำให้ความคาดหวังเพิ่มสูงมากขึ้น ซึ่งระดับความสูงต่ำของความคาดหวังนี่เองที่เป็นตัวผลักดัน hype cycle ของ innovation ดังที่ได้กล่าวไปในตอนต้น
ประโยชน์ของการนำไป BE ไปประยุกต์ใช้ ส่วนมากจะเป็นในทางของ marketing โดยอาจจะศึกษาความต้องการ/ตัดสินใจของลูกค้า หรืออาจนำไปใช้ในการออกแบบ website ให้มี option ต่างๆที่สามารถตอบสนองลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
Corporate Blog
Corporate blog คือ blog ที่สร้างเผยแพร่โดยองค์กร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร ทั้งการประชาสัมพันธ์ หรือสร้าง Community ภายในองค์กร
ข้อดีของ Corporate Blog
- ง่ายในการโพสท์และคอมเมนท์ข้อความ
- ง่ายต่อการติดตามอัพเดทเนื่องจากในปัจจุบัน Browsers ต่างๆ ได้แก่ Firefox, Opera, Safari และ Internet Explorer 7 สามารถรองรับการทำงานของ RSS ได้ ซึ่งทำให้ผู้อ่านสามารถอ่านบทความล่าสุดที่ถูกโพสท์โดยไม่ต้องเข้าไปในเว็บไซต์
ประเภทของ Corporate Blog
Internal Blogs
เป็น Blog ที่ใช้ในการสื่อสารภายในองค์กร โดยทั่วไป Internal Blog สามารถเข้าถึงผ่านระบบ Intranet ขององค์กร ทำให้พนักงานสามารถเข้าชมได้ ในบางครั้งอาจเป็น Blog สำหรับกลุ่ม/แผนกต่างๆ ในองค์กรที่ให้สมาชิกสามารถโพสท์ข้อความได้ ซึ่ง Internal Blog มีขึ้นเพื่อสร้างการมีส่วนแก่ในหมู่พนักงาน ใช้สื่อสารระหว่างส่วนงานต่างๆ สร้างความเป็น Community ขององค์กร  ตัวอย่างเช่น
- "Knowledge Sharing" แบ่งปันและสะสมความรู้จากทุกคนทุกฝ่ายในองค์กร
- "Project Management" ติดตามและรายงานความคืบหน้าของงาน แลกเปลี่ยนข้อมูลเอกสารกัน
- "Team Communication" พูดคุยแสดงความคิดเห็นกันภายในและระหว่างทีมต่างๆ
- "Log Book" บันทึกเหตุการณ์ระหว่างทำงาน เช่นโรงแรมบันทึกแขกเข้าออกและการสั่งอาหารเครื่องดื่มต่างๆ พนักงานกะต่อไปก็เข้าไปอ่านบันทึกของกะก่อนนี้ได้
External Blogs
เป็น Blog ที่ให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าอ่าน สิ่งที่พนักงานหรือประชาสัมพันธ์ขององค์กรแบ่งปันความคิดเห็น ซึ่งมักจะถูกใช้ในการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการใหม่ๆ, อธิบายชี้แจงนโยบายของบริษัทหรือสิ่งที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับบริษัทขณะนั้น ซึ่ง Corporate Blog เป็นช่องทางการสื่อสารขององค์กรแบบที่ไม่เป็นทางการ แตกต่างจาก Press Release อื่นๆ แม้ว่า Corporate Blog จะเป็นช่องทางการสื่อสารที่ซื่อตรงกว่าแบบอื่นๆ อย่างไรก็ตามมักจะเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์ ตัวอย่างเช่น
- "Test drive new product & idea" นำเสนอสินค้าใหม่ บริการใหม่ โปรโมชั่นใหม่ ให้กลุ่มเป้าหมายวิจารณ์เสนอแนะ
- "Building a buzz" สร้างกระแสให้กลุ่มเป้าหมายและสังคมบอกต่อๆกันปากต่อปาก
- "Go global" โปรโมตองค์กร สินค้า หรือบริการ ให้คนทั่วโลกได้รู้จัก
- "Informed the press" ส่งข่าว ติดต่อกับสื่อมวลชน นักข่าวสื่อต่างๆ
- "Branding" สร้างแบรนด์ผ่านเรื่องราวในบล็อก
- "Recruit new staff" ประกาศรับสมัครคนใหม่ได้ตรงกลุ่ม โดยที่กลุ่มเป้าหมายรู้จักบริษัทอยู่แล้วจากการอ่านบล็อก
ในการสื่อสารไปสู่ภายนอกองค์กรนี้ บล็อกจะช่วยให้องค์กรสื่อตรงได้ถึงผู้รับที่แท้จริง ไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่างหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือสื่ออื่นๆ ให้เปลืองค่าใช้จ่ายและเสียเวลา
Corporate Blogging Strategies
1. Build Thought leadership : เป็นช่องทางให้องค์กรแสดงความเห็นเกี่ยวกับอุตสาหกรรม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ
2. Corporate Culture : ใช้เป็นช่องทางในการสื่อถือวัฒนธรรมขององค์กร
3. Connecting with Leaders : ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสารภายในองค์กรระหว่างผู้บริหารระดับสูง อย่างเช่น CEO กับพนักงานในองค์กร เพื่อให้เกิดการสื่อสารทางตรง และลดช่องว่างระหว่างกัน
4. Branding : ใช้ corporate blog เป็นช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ (brand image) ให้เข้มแข็งและเป็นไปตามที่ต้องการ
การวัดผล
เกณฑ์วัดผลที่บ่งบอกถึงความเป็นที่นิยมของ blog หรืออิทธิผลของ blog ที่มีต่อผู้อ่าน ได้แก่ เกณฑ์ที่เป็นรูปธรรมอย่างเช่น ตัวเลขยอดคนเข้าอ่าน, จำนวนคอมเมนต์, จำนวนลิงค์ที่ลงในเสิร์ชเอ็นจินดังๆ หรือ จำนวนครั้งที่โพสท์นั้นถูก share ผ่าน social media และอาจวัดผลจากระแสปากต่อปากที่สร้างขึ้น เป็นต้น
5 อันดับ Corporate blogs
ที่จัดอันดับโดย Technorati ในเดือนตุลาคม ปี 2009 ซึ่ง Technorati เป็น internet search engine สำหรับการค้นหา blog
1. Google blog : http://googleblog.blogspot.com/
2. Twitter blog : http://blog.twitter.com/
3. Facebook blog : http://blog.facebook.com/
4. Yahoo blog : http://yodel.yahoo.com/
5. Dell blog :http://direct2dell.com/one2one/
ควอนตัมคอมพิวเตอร์ (Quantum computer)
ที่มาของคอมพิวเตอร์
                ในช่วงทศวรรศที่ 1830 ชาร์ลส์ แบบเบจ (Charles Babbage) ได้ศึกษาการทำเครื่องวิเคราะห์ เพื่อสร้างเป็นเครื่องจักรที่สามารถรองรับการคำนวณทุกชนิด แม้ว่าจะสร้างไม่สำเร็จ แต่ทฤษฏีและการออกแบบเครื่องคำนวณของเขา ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นต้นแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ในเวลาต่อมา
                ในปี 1936 อลัน ทูริ่ง (Alan Turing) เปลี่ยนแนวคิดของแบบเบจ ให้กลายเป็นทฤษฎีพื้นฐานของการประมวลผลข้อมูลที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ และสร้างคอมพิวเตอร์ขึ้นแบบอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลก ทำงานโดยพื้นฐานของเลขฐานสองคือ 0 และ 1 โดยอาศัยหลอดสุญญากาศเป็นสื่อแทนค่า
                ในทศวรรษที่ 1960 หลอดสุญญากาศก็ถูกแทนที่ด้วย ทรานซิสเตอร์ (Transistor) ที่ทำมาจากสารกึ่งตัวนำ ทำหน้าที่เปิดปิดสัญญาณไฟฟ้า แทนการเปิดปิดของหลอดสุญญากาศ โดยทรานซิสเตอร์มีข้อดีกว่าคือ ขนาดเล็กกว่า และทำให้เกิดความร้อนจากการใช้งานน้อยกว่าหลอดสุญญากาศ
                ต่อมาไม่นานในทศวรรษที่ 1970 ก็มีการรวมทรานซิสเตอร์หลายๆตัว อยู่ในวงจรที่มีขนาดเล็กลง ทำให้เกิดเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์ (Microprocessor) โดยมีไมโครโปรเซสเซอร์ที่ออกมาครั้งแรกคือ  Intel 4004 ของ Intel, TMS 1000 ของ Texas Instrument, Central Air Data Computer ของ Garrett AiResearch
                ในปี 1994 ปีเตอร์ ชอร์ (Peter Shor) ได้ค้นพบทฤษฏีใหม่ โดยใช้ทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมที่ศึกษาถึงคุณสมบัติของสิ่งที่เล็กกว่าอะตอม มาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาเชิงคณิตศาสตร์ที่เป็นหัวใจของเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน การค้นพบนี้เป็นการจุดประกายที่ทำให้มีการรวมเอาศาสตร์ทางด้านฟิสิกส์และวิทยาการคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน เกิดเป็นศาสตร์แขนงใหม่ที่เรียกว่า ควอนตัมคอมพิวเตอร์
ควอนตัมคอมพิวเตอร์
                คือเครื่องมือในการประมวลผลที่ใช้คุณสมบัติทางกลศาสตร์ควอนตัมเพื่อใช้ในการทำงานกับข้อมูลต่างๆ โดย  อาศัยคุณสมบัติเชิงแม่เหล็กของการหมุนอิเล็กตรอนที่ไม่ใช่การหมุนตามปกติ หรือที่เรียกว่าสปิน(Spin) โดยอิเล็กตรอนจะมีสปิน +1/2 (spin up) และ -1/2 (spin down) โดยที่การเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมาระหว่างสปิน 2 แบบนี้ สามารถนำไปใช้กับระบบการทำงานแบบดิจิตอลหรือระบบเลขฐาน 2 ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน โดยใช้สปิน +1/2 แทนที่ 1 และใช้สปิน -1/2 แทนที่ 0 ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวนี้เอง ทำให้นำไปสู่การพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยพื้นฐานรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า ควอนตัมคอมพิวเตอร์
                ในระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้ มีหน่วยพื้นฐานของข้อมูลที่เรียกว่า บิท (bit) ซึ่ง 1 บิท จะแสดงสถานะเพียงสถานะเดียวในระบบเลขฐานสองคือ 1 หรือ 0 เท่านั้น แต่หน่วยพื้นฐานของข้อมูลระบบควอนตัมคอมพิวเตอร์นั้นเรียกว่า คิวบิท (qubit) ซึ่ง 1 คิวบิทนั้น เป็นไปตามคุณสมบัติของการหมุนของอิเล็กตรอนที่ไม่แน่นอนตายตัว ทำให้ในคิวบิทเดียวกันนั้น อาจมีสถานะเป็นไปได้ทั้ง 1 และ 0 ในเวลาเดียวกัน ซึ่งนักฟิสิกส์เรียกสภาวะดังกล่าวว่า ซุปเปอร์โพสิชัน  (Superposition) ทำให้แต่ละการทำงานของคิวบิท สามารถทำงานได้เร็วกว่า 2n เท่าของบิทระบบคอมพิวเตอร์ธรรมดาในปัจจุบัน (n คือจำนวนบิท) เช่น สมมติว่าใช้
คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดสองบิท และควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีขนาด 2 คิวบิท ในการประมวลผลโจทย์เดียวกัน จะพบว่า ควอนตัมคอมพิวเตอร์ สามารถประมวลผลทั้งสี่คำตอบ (“0,0” “0,1” “1,0” “1,1”) ได้ โดยใช้การประมวลผล เพียงครั้งเดียว ในขณะที่คอมพิวเตอร์ธรรมดา ต้องใช้การประมวลผลถึงสี่ครั้ง จึงจะได้คำตอบทั้งสี่อย่างครบถ้วน
                นอกจากนี้ คิวบิต ยังสามารถเชื่อมต่อกัน หลายๆ หน่วย โดยที่สภาวะ ของคิวบิตแต่ละหน่วย ยังสามารถส่งผล  และมีความเกี่ยวโยงกับคิวบิตหน่วยอื่นๆ ได้ด้วย ซึ่งเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า เอนแทงเกิลเมนต์ (Entanglement) เช่น หากคิวบิทหนึ่ง มีการ spin up จะส่งผลให้อีกคิวบิทหนึ่งมีการ spin down
ประโยชน์ของควอนตัมคอมพิวเตอร์
1.       Quantum Dense Code / Teleportation
สามารถลดระยะเวลาในการส่งผ่านข้อมูล เนื่องจาก 1 คิวบิท สามารถมีได้ทั้ง 2 สถานะ จึงสามารถย่อข้อมูล จาก 2 บิท ให้เหลือเพียง 1 คิวบิทได้ ทำให้การส่งข้อมูลมีความรวดเร็วมากขึ้น เพิ่มขีดความสามารถของคอมพิวเตอร์ให้สูงขึ้น
2.       Quantum Cryptography รหัสลับเชิงควอนตัม
ในแง่ของความปลอดภัยในการส่งผ่านข้อมูล ควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถโจมตีกุญแจการเข้ารหัสสาธารณะ (Public Key) ที่ทำหน้าที่ปกป้องอีเมล ปกป้องข้อมูลรหัสผ่าน ปกป้องข้อมูลบัญชีธนาคารหรืออื่นๆ ทำให้มาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเหล่านี้ล้มเหลว อย่างไรก็ตาม ด้วยกลวิธีเดียวกัน เราสามารถสร้างกุญแจการเข้ารหัสที่ไม่สามารถแก้ได้โดยวิทยาการควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเรียกเทคโนโลยีใหม่นี้ว่า Quantum Cryptography ซึ่งสามารถตรวจจับเมื่อมีบุคคลที่สามเข้ามารบกวนหรือแทรกแซงการส่งข้อมูลได้ 100% เพื่อเป็นการปกป้องการขโมยข้อมูลได้
ตัวอย่างการใช้งาน
                เนื่องมาจากเทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวเตอร์นี้กำลังอยู่ในช่วงวิจัยและพัฒนา ทำให้เทคโนโลยีนี้ยังไม่มีการใช้อย่างกว้างขวางมากนัก มีเพียงแต่การพัฒนาเพื่อใช้ในการศึกษาขององค์กรหรือการใช้งานของบริษัทที่มีขนาดใหญ่โดยเฉพาะ เนื่องจากเทคโนโลยีนี้ยังใช้เงินลงทุนที่สูง ตัวอย่างการใช้งานที่ได้ออกมาแล้วเช่น
                บริษัท D-Wave ได้มีการระดมเงินลงทุนจากผู้ร่วมธุรกิจไปกว่า 44 ล้านเหรียญสหรัฐใน 5 ปีที่ผ่านมา โดยให้บริษัท Rose เป็นผู้พัฒนาในการผลิต chip ที่มีจำนวนคิวบิทถึง 128 คิวบิท โดยทีม Google image recognition ได้ทำการสาธิตความสามารถในการสืบค้นจาก chip นี้ ที่สามารถแยกความแตกต่างของวัตถุในจำนวนภาพถ่ายเป็นแสนๆภาพในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
ควอนตัมคอมพิวเตอร์ในอนาคต
                ด้วยเทคโนโลยี Quantum Computer นี้ นักวิทยาศาตร์คาดการณ์ไว้ว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า เราจะสามารถสั่งการสิ่งต่างๆรอบตัวได้ด้วยสมองโดยตรง โดยการใส่ headband ซึ่งรับส่งข้อมูลกับสมองได้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์จินตนาการอีกว่า จะมี chip ปฎิบัติการอยู่ในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ รถยนต์ และสาธารณูปโภคต่างๆทำให้ชีวิตเราสะดวกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งจะทำให้สามารถติดต่อกันได้สะดวกโดยใช้เสียงเท่านั้น และอาจจะทำให้ไม่มีคีย์บอร์ดอีกต่อไป
Micro Blogging
Micro Blogging คืออะไร?
          เป็นการส่งข้อความระหว่างสมาชิกที่มี connection กันด้วยระบบ RSS feed ส่งข้อความผ่านสื่อสองทาง เช่น SMS , instant message, email, Twitter's web site หรือโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นสำหรับการนี้โดยเฉพาะ ด้วยเหตุที่เขียนข้อความได้จำกัดจึงเกิดคำเรียกอีกคำว่า "micro blogging"
โดยเครื่องมือที่เรียกกันว่า Micro-blogging อย่าง Twitter, Plurk, Dipity, Yammer (เน้นใช้ในองค์กร) กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ 
Plurk  เป็นเครื่องมือในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการแพร่กระจายของข้อมูลอย่างรวดเร็วไม่น้อยไปกว่า Twitter ซึ่งเป็นการสื่อสารที่พูดน้อย (140 ตัวอักษรเหมือนกับ twitter) แต่ไม่มีการส่งผ่านข้อความเป็น SMS เข้ามือถือเท่านั้น นอกจากนี้ Plurk ยึงมีจุดเด่นที่สำคัญคือ การแสดงข้อมูลเป็นแบบ timeline ทำให้รู้ว่าตอนที่เรา post ข้อความนั้นเป็นเวลาเท่าใด และยังมี Interface เป็นภาษาไทยอีกด้วยทำให้ง่ายต่อการใช้งาน รวมถึงยังมีการกำหนดแต้ม Karmar ซึ่งเรียกว่าแต้มบุญ ที่จะเพิ่มขึ้นหากเรา login เป็นประจำ หรือ post บ่อยๆ หรือลองใช้ feature ต่างๆ ซึ่งจะสามารถได้ Icons หรือ Feature ใหม่ๆ เป็นการตอบแทน
Yammer คือบริการ microblogging รูปแบบหนึ่ง โดยสามารถให้เราสร้างกลุ่มของเราเอง ซึ่งคนที่จะเข้ามาอยู่ในกลุ่มของเราได้นั้นจะต้องใช้ e-mail ภายในกลุ่ม เช่น @hotmail.com @gmail.com ฯลฯ ดังนั้นจุดประสงค์หลักของ Yammer นั่นคือเอาไว้สำหรับคนในองค์กรใช้ติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วเหมือน เหมือนอย่างแต่มีความเป็นส่วนตัว (องค์กรใครองค์กรมัน) นั่นเอง
และสำหรับไอเดียแรกเริ่มต้องยกให้ Twitter เพราะเจ้าตัว Micro-blogging นี่เองที่ทำให้เราสามารถสื่อสารกับคนรอบตัวได้ลึกมากขึ้น ทั้งนี้เพราะทุกวันนี้เราสามารถติดต่อสื่อสารกันได้หลายช่องทาง แต่ Micro-blogging อย่าง Twitter เข้ามามีบทบาทในการสื่อสารในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการ post เรื่องราวในชีวิตประจำวันสั้นๆ นั้นก็ไม่ถึงกับจะต้องส่งผ่านทาง email เพราะฉะนั้น Twitter จึงมีข้อจำกัดในการส่งข้อความที่มีศัพท์เรียกว่า "Tweets" จะต้องเป็น plain text ไม่เกิน 140 ตัวอักษรเท่านั้นจะแทรกคำสั่งโปรแกรมอะไรไม่ได้ ยกเว้นแต่ hyperlink มายังเว็บเพจของเรา ที่สามารถใส่ไปได้ โดยระบบจะจัดการต่อให้เอง
           ดังนั้นคนที่ใช้ Twitter โดยมากเป็น blogger ทั่วไปที่ต้องการสื่อสารให้พรรคพวกได้updateแบบรวดเร็วทันใจ ไม่ว่าจะอยู่ที่มุมไหนของโลก โดยเริ่มมากจากคำถามที่ว่า What are you doing? แต่ข้อเสียในการใช้งานแบบส่วนตัวเกินไปก็มีมาก เช่น การส่ง message ว่า หิวข้าว อยากกินส้มตำ อยากไปดูหนัง ไปเที่ยวกับแฟนมา ไม่ได้อาบน้ำมาสามวันแล้ว ฯลฯ ซึ่งสร้างความรู้สึกที่น่ารำคาญกับผู้รับ Tweets ที่ไม่ได้สนิทสนมด้วย
         เดิม Twitter มีจุดประสงค์สำหรับใช้สื่อสารแบบส่วนตัว และไม่เป็นทางการ จึงเต็มไปด้วยสิ่งที่คนอีกกลุ่มหนึ่งตั้งข้อรังเกียจ แต่ตอนหลังๆ คนเริ่มพยายามนำมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในทางการตลาดที่ดีวิธีหนึ่งเพราะ Twitter ถือเป็นบริการส่ง SMS แบบ broadcasting โดยไม่เสียค่าบริการ ตัวอย่างการนำไปใช้งานให้เกิดประโยชน์เช่น
1. Update ข่าวสารกับผู้อ่าน กลุ่มสมาชิก ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
ถ้าหากว่าบริษัทของเรากำลังมีข่าวอะไรจะอัพเดตกับคนทั่วไป ก็ใช้ Twitter แจ้งข่าวได้ ถ้าคนที่สนใจในสินค้าและบริการของเรา เขาอยากติดตามเราอยู่แล้ว การแจ้งข่าวแบบนี้ควรทำให้บ่อยหน่อย อย่างน้อยก็วันละครั้ง เพื่อให้สมาชิก Twitter รู้สึกได้ว่าบริษัทมีความเคลื่อนไหว แต่การแจ้งข่าวก็ต้องเป็นข่าวที่กระทบในระดับบุคคลเช่นมีสินค้าใหม่ออกแล้ววางขายที่ไหน ซึ่งข่าวที่แจ้งนั้นไม่ควรเป็นโฆษณาชวนเชื่อ
2. Customer Support
บางทีการตอบคำถามลูกค้าก็ช่วยในการประชาสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี เช่น Home Depot ที่อเมริกา(http://twitter.com/TheHomeDepot) เปิดให้คนถามเรื่องการซ่อมแซมบ้านทำอย่างไรใน Twitter พนักงาน Home Depot ก็เข้าไปตอบคำถามลูกค้า เช่น ลูกค้าถามว่าประตูห้องน้ำเสียจะแก้ไขเบื้องต้นยังไงได้บ้าง เราก็ตอบคำถามลูกค้าทางนี้พร้อมกับลิงค์ภาพและวิธีการซ่อมแซมประตูในเว็บของ เราทาง Twitter นอกจากจะแก้ปัญหาให้ลูกค้าจนพอใจได้แล้ว ลูกค้ายังอาจติดต่อเราเพื่อซื้อสินค้าของเราเพิ่มเติมอีกก็ได้
3. Feedback
Twitter เป็นอีกช่องทางในการรับคำติชมสำหรับตัวผลิตภัณฑ์และการบริการของพนักงาน ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและรวดเร็วมากกว่าช่องทางอื่น เช่นโทรศัพท์ หรือจดหมาย
4. Special Offer
คือหากมีการลดราคาสินค้าพิเศษ ที่คิดว่าจะได้รับความสนใจจากลูกค้า เช่นลดล้างสต๊อก 70% หรือรับสิทธิ์จอง iPhone ก่อนใคร แบบนานๆ ที ซึ่งการ Tweet แบบนี้จะทำให้ลูกค้าจะรู้สึกว่าคุณให้ความสำคัญกับเขาจริงๆ ไม่ใช่สักแต่โฆษณา
5. ข้อความบ้าๆ
ส่งข้อความที่ทำให้สนุกและเป็นกันเองเข้าไว้ อาจไม่ต้องเกี่ยวกับสินค้าและบริการของเราเลยก็ได้ โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบ้านเราค่อนข้างเรียกร้อง ความเป็นกันเองสูงมากกว่าประเทศอื่นๆ
6.ใช้รณรงค์ ประชาสัมพันธ์กิจกรรมเพื่อสังคม หรือ สาธารณประโยชน์กับกลุ่มสมาชิก
7.สื่อสารภายในองค์กร
ใช้สื่อสารข้อความสั้นๆภายในองค์กร ในส่วนที่ไม่เป็นความลับ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารบอกความคืบหน้า update ข้อมูลกันและกัน หัวหน้าทีมที่มีผู้ติดตามมากก็จะได้ประโยชน์มากหน่อย เพราะสามารถสั่งงานได้ฉับพลันทันที รับรายงานได้ทันที
8. ใช้เป็นช่องทางให้ความรู้
สามารถเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ให้ความรู้ที่น่าสนใจแก่สมาชิกกลุ่ม เพิ่ม Value ให้กับผู้มอบความรู้ เช่น จ.ส.100 ข่าวสารบ้านเมืองหรือสำนักข่าว สามารถใช้ส่ง headline news ให้กับสมาชิกโดยทันที
9.ใช้แสดงความคิดเห็นในประเด็นสาธารณะแบบ real time ในหมู่สมาชิก
          จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้การใช้ Twitter จึงเหมือนกับการสื่อสารทางตรงของสมาชิกผู้หนึ่งกับสมาชิกกลุ่มป้าหมาย ซึ่ง connect กันในระบบ online networking ด้วยวิธี broadcasting sms
วิธีใช้ Twitter?
เมื่อสมัครไปแล้ว เมื่อเราสนใจใครก็สามารถตาม (Follow) เขาได้ แล้วเขาอาจจะ add เรากลับมาบ้าง ซึ่งก็จะทำให้กลายเป็นการสื่อสารถึงกันและกัน ต่อไปก็ต้องพยายามโปรโมทตัวเองด้วยการส่ง email ถึงเพื่อนที่เราอยากให้ใช้ Twitter เขียนบทความให้คนรู้ ทำประชาสัมพันธ์ในชุมชนออนไลน์ที่มีคนที่น่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอยู่ แล้วรอดูผล ขณะเดียวกันก็ต้องเริ่ม contribute ด้วยการส่ง Tweets เมื่อทำไปสักพัก  โดยในระบบจะมีสถิติให้สมาชิกดูว่า สมาชิก follow ใครอยู่กี่คน มีคนมา follow สมาชิกกี่คน มี favorite tweets กี่ข้อความ เป็นต้น
ใช้ Twitter อย่างไรให้ถูกต้อง?
          Tweets ที่ส่งออกไปทั้งหมดจะปรากฏอยู่ใน profile สมาชิกและจะอยู่ต่อไปถ้าไม่มีการจัดการและส่วนที่ยังปรากฏอยู่จะแสดงถึงลักษณะความเป็นคุณ (หรือคุณในโลกออนไลน์) อยู่อย่างนั้น ฉะนั้นจงคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ด้วย
·         อย่าส่งเสียงน่ารำคาญ เพราะชื่อก็บอกว่าเป็น เสียงนก ดังนั้นถ้าใช้แบบ "เสียงนก เสียงกา" ก็จะไม่มีคนให้ความสนใจได้เหมือนกัน จึงควรต้องระมัดระวัง เลือกคำให้สั้น ให้เหมาะและได้ใจความ เหมือนที่คุณจะใช้หากมีโอกาสได้คุยกับประธานบริหารของธนาคารที่คุณขอกู้เงินในเวลาเพียง 30 วินาที ฉะนั้นจึงอาจต้องฝึกกันบ้าง หรือวางแผนไว้บ้าง
·         อย่านิ่งเงียบไป ต้องส่งข้อความให้คนอื่นรู้ว่ายังไม่ตายไปจากโลกนี้
·         ลองอะไรใหม่ๆดูบ้าง ถ้าสิ่งนั้นจะทำให้เกิดประโยชน์กับตัวเองมากขึ้น (ถ้าจะคิดแบบธุรกิจ) บางทีกฎเกณฑ์ก็กลายเป็นข้อจำกัดของการประยุกต์ความคิดสร้างสรรค์ได้เหมือนกัน
·         ปรับตัวให้เร็ว ถ้าสิ่งที่ทดลองทำนั้นไม่ได้ผล ก็อย่าทู่ซี้ทำต่อไป ไม่งั้นจะเกิดผลเสียตามมา เว้นแต่เชื่อมั่นว่ามันจะได้ผลแต่อาจจะยังไม่ถึงเวลา ก็อยู่ที่การตัดสินใจของตัวเอง
·         อย่าใช้ Twitter เป็น SMS โต้ตอบกับใครเป็นการส่วนตัวจนดูไม่เป็นProfessional ถ้าจำเป็นก็ควรยกหูโทรศัพท์คุยหรือส่ง IM แทน
·         ในกรณีที่ต้องคุยใช้ Tweet บอกใครหรือกลุ่มของใครเป็นการเฉพาะ ควรใส่เครื่องหมาย @หน้าชื่อคนนั้นๆ หรือใช้สีที่แตกต่างกัน
·         เพื่อตัดปัญหาเวลาคนรับ Tweets ไม่ได้ follow ทุกคนในกลุ่มที่เราส่ง SMS เขาจึงได้ข้อความไม่ครบ ทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้ จึงควรใช้ถ้อยคำที่ผู้อ่านสามารถจับความได้เป็นดีที่สุด หรือไม่ก็เลือกสื่อสารทางอื่นแทน
·         อย่าพยายามขายอะไรใน tweets เพราะมันจะไม่ work เพราะคนทั่วไปไม่มีใครชอบจดหมายขายสินค้า หรือใช้วิธี hard sell
ท้ายที่สุด Twitter ก็เป็นเพียงเครื่องมือในการสื่อสาร หัวใจสำคัญของการสื่อสารอย่างไรก็ยังเป็นเรื่องของเนื้อหาที่เราต้องการ เราต้องทำความเข้าใจกับธรรมชาติของมันเท่านั้นเอง สำหรับบริษัทที่เน้นเรื่องความน่าเชื่อถือ และภาพลักษณ์ที่เคร่งขรึม Twitter ก็อาจจะไม่ใช่เครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับเราก็ได้ซึ่งอันนี้ต้องพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป
Text Mining
Text Mining Definition
กระบวนการที่กระทำกับข้อความ(โดยส่วนใหญ่จะมีจำนวนมาก) เพื่อค้นหารูปแบบ แนวทาง และความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่ในชุดข้อความนั้น โดยอาศัยหลักสถิติ การรู้จำ การเรียนรู้ของเครื่อง หลักคณิตศาสตร์ หลักการประมวลเอกสาร (Document Processing) หลักการประมวลผลข้อความ (Text Processing) และหลักการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing) โดยใช้วิธีการ Information extraction ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์แบบอัตโนมัติ นำเสนอผลการวิเคราะห์ให้เป็นความรู้ใหม่ รวมถึงสามารถแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลใหม่ด้วย ซึ่งเป็นการค้นพบข้อมูลที่ไม่เคยรับรู้มาก่อนหรือไม่มีข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ก่อน จะแตกต่างกับ Searching ซึ่งเป็นความต้องการค้นหาเรื่องที่ผู้สืบค้นรู้จักมาก่อน รวมทั้งเป็นเรื่องที่มีการเขียน/บันทึกไว้แล้ว

The Purpose of Text Mining
The purpose of Text Mining is to process unstructured (textual) information, extract meaningful numeric indices from the text, and, thus, make the information contained in the text accessible to the various data mining (statistical and machine learning) algorithms. Information can be extracted to derive summaries for the words contained in the documents or to compute summaries for the documents based on the words contained in them. 

Knowledge from Text Mining
การสรุปเอกสารข้อความ (Document Summarization)
เป็นการลดความซับซ้อนและขนาดของเอกสารข้อความโดยไม่ทำให้ความหมายหรือสาระสำคัญของข้อมูลเอกสารสูญเสียไป ตัวอย่างงานที่เห็นได้ชัดเจนคือ google เมื่อ search ข้อมูล google จะแสดงบางส่วนของเนื้อหาของแต่ละผลลัพธ์ เพื่อให้เห็นภาพรวมของ website นั้นๆ ก่อนที่จะคลิกเข้าไปดู

การแบ่งประเภทเอกสารข้อความ (Document Classification)
เป็นเทคนิคช่วยในจำแนกประเภทเอกสาร ทั้งนี้เราต้องทราบก่อนแล้วว่าต้องการจำแนกเอกสารออกเป็นกี่ประเภท (Class) ดังนั้นการใช้เทคนิคนี้ จำเป็นต้องทำการสอนระบบ (train model) ให้รู้จำรูปแบบของเอกสารในแต่ละ class ก่อน ตัวอย่างเช่น ในการสมัคร e-mail ตาม free e-mail ต่างๆ นั้น จะมีหน้าต่างเงื่อนไขการใช้บริการ ถ้าเราอ่านเงื่อนไขทั้งหมดจะพบว่าหนึ่งในหลายๆ ข้อนั้น จะมีเงื่อนไขของการยินยอมให้ทางผู้ให้บริการ e-mail สามารถอ่านเนื้อหาภายใน mail ได้ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เพื่อใช้ในการกรอง พวก spam mail ออกจาก e-mail ปกตินั่นเอง อีกตัวอย่างหนึ่งของการทำเทคนิค Document Classification ไปใช้ คือใช้ในการจำแนกข้อมูลที่มีการ post อยู่ใน social network เพื่อใช้ในการวิเคราะห์หรือดูแนวโน้มในเรื่องต่างๆ ได้อีกด้วย

การแบ่งกลุ่มเอกสารข้อความ (Document Clustering)
จัดแบ่งเอกสารข้อความออกเป็นกลุ่ม โดยใช้การวัดความคล้ายคลึงและความแตกต่างของคุณลักษณะของเอกสารข้อความ สามารถนำไปใช้ในงานด้าน search engine เพื่อทำการจัดกลุ่มข้อมูลที่มีอยู่มากมาย ออกเป็นกลุ่มย่อยๆ หรือ Categories เมื่อ user ระบุ key word หรือ คำค้น เข้ามา ระบบ search engine จะทำการค้นข้อมูลใน Category เป้าหมายก่อน เพื่อลดเวลาในการ search แทนที่จะต้องทำการค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูลทั้งก้อน
ขั้นตอนการทำเหมืองข้อความ
1. ทำความเข้าใจปัญหา
2. ทำความเข้าใจข้อมูล
3. เตรียมข้อมูล (Text Corpus: Training set, Test set)
4. สร้างแบบจำลอง จากขั้นตอนวิธี
5. ประเมิน
6. นำไปใช้งาน

Applications for Text Mining
Analyzing open-ended survey responses. 
In survey research (e.g., marketing), it is not uncommon to include various open-ended questions pertaining to the topic under investigation. The idea is to permit respondents to express their "views" or opinions without constraining them to particular dimensions or a particular response format. This may yield insights into customers' views and opinions that might otherwise not be discovered when relying solely on structured questionnaires designed by "experts." For example, you may discover a certain set of words or terms that are commonly used by respondents to describe the pro's and con's of a product or service (under investigation), suggesting common misconceptions or confusion regarding the items in the study.

Automatic processing of messages, emails, etc. 
Another common application for text mining is to aid in the automatic classification of texts. For example, it is possible to "filter" out automatically most undesirable "junk email" based on certain terms or words that are not likely to appear in legitimate messages, but instead identify undesirable electronic mail. In this manner, such messages can automatically be discarded. Such automatic systems for classifying electronic messages can also be useful in applications where messages need to be routed (automatically) to the most appropriate department or agency; e.g., email messages with complaints or petitions to a municipal authority are automatically routed to the appropriate departments; at the same time, the emails are screened for inappropriate or obscene messages, which are automatically returned to the sender with a request to remove the offending words or content.

Analyzing warranty or insurance claims, diagnostic interviews, etc. 
In some business domains, the majority of information is collected in open-ended, textual form. For example, warranty claims or initial medical (patient) interviews can be summarized in brief narratives, or when you take your automobile to a service station for repairs, typically, the attendant will write some notes about the problems that you report and what you believe needs to be fixed. Increasingly, those notes are collected electronically, so those types of narratives are readily available for input into text mining algorithms. This information can then be usefully exploited to, for example, identify common clusters of problems and complaints on certain automobiles, etc. Likewise, in the medical field, open-ended descriptions by patients of their own symptoms might yield useful clues for the actual medical diagnosis.

Investigating competitors by crawling their web sites.
 Another type of potentially very useful application is to automatically process the contents of Web pages in a particular domain. For example, you could go to a Web page, and begin "crawling" the links you find there to process all Web pages that are referenced. In this manner, you could automatically derive a list of terms and documents available at that site, and hence quickly determine the most important terms and features that are described. It is easy to see how these capabilities could efficiently deliver valuable business intelligence about the activities of competitors.

Areas that text mining has been used.
Security applications
Many text mining software packages are marketed towards security applications, particularly analysis of plain text sources such as Internet news. It also involves in the study of text encryption.

Biomedical applications
A range of text mining applications in the biomedical literature has been described. One example is PubGene that combines biomedical text mining with network visualization as an Internet service. Another text mining example is GoPubMed.org.  Semantic similarity has also been used by text-mining systems, namely, GOAnnotator. 

Software and applications
Research and development departments of major companies, including IBM and Microsoft, are researching text mining techniques and developing programs to further automate the mining and analysis processes. Text mining software is also being researched by different companies working in the area of search and indexing in general as a way to improve their results.

Online Media applications
Text mining is being used by large media companies, such as the Tribune Company, to disambiguate information and to provide readers with greater search experiences, which in turn increases site "stickiness" and revenue. Additionally, on the back end, editors are benefiting by being able to share, associate and package news across properties, significantly increasing opportunities to monetize content.

Marketing applications
Text mining is starting to be used in marketing as well, more specifically in analytical Customer relationship management. Coussement and Van den Poel (2008) apply it to improve predictive analytics models for customer churn (customer attrition).

Sentiment analysis
Sentiment analysis may involve analysis of movie reviews for estimating how favorable a review is for a movie.  Such an analysis may require a labeled data set or labeling of the affectivity of words. A resource for affectivity of words has been made for WordNet.

Academic applications
The issue of text mining is of importance to publishers who hold large databases of information requiring indexing for retrieval. This is particularly true in scientific disciplines, in which highly specific information is often contained within written text. Therefore, initiatives have been taken such as Nature's proposal for an Open Text Mining Interface (OTMI) and the National Institutes of Health's common Journal Publishing Document Type Definition (DTD) that would provide semantic cues to machines to answer specific queries contained within text without removing publisher barriers to public access
นายวรฐ ทรงฤกษ์ 5202112594

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น